โจวกง คือพระโอรสของโจวเหวินหวังผู้รจนาฉักลักษณ์ทั้งหกสิบสี่ของคัมภีร์โจวอี้ และเป็นอนุชาของโจวอู่หวัง พระนามเดิมชื่อจีตั้น เป็นลำดับที่สี่ในพี่น้องสิบคน ชื่อของโจวกงเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางแม้จะไม่ได้เป็นกษัตริย์ ก็เนื่องจากคุณธรรมและคุณงามความดีอันยิ่งใหญ่ และท่านยังเป็นที่นับถืออย่างยิ่งของปราชญ์มหาบุรุษอย่างขงจื้อ
โจวกงเป็นคนสุขุมรอบคอบและตัดสินปัญหาได้อย่างเหมาะสมมาแต่ครั้งเยาว์วัย ครั้นเติบโตขึ้นก็เป็นผู้รอบรู้ในกิจการทั้งปวง เมื่อครั้งที่จีฟาหรือต่อมาคือโจวอู่หวังได้รวบรวมกำลังขึ้นมาปราบทรราชโจ้วหวังแห่งราชวงค์ซางนั้น จีตั้นหรือโจวกงก็เป็นที่ปรึกษาราชการในทัพ(ในยุคนี้มีที่ปรึกษาที่มีชื่อเสียงก้องโลกอีกท่านคือ “เจียงจื่อหยา”) จนเมื่อพิชิตโจ้วหวังลงและก่อตั้งราชวงค์โจวขึ้นมาแทนได้แล้ว โจวอู่หวังและโจวกงก็ทำการปลดปล่อยทาส ช่วยเหลือคนยากจนจนได้รับความเทิดทูนจากราษฎรอย่างสูง
จนเมื่อโจวอู่หวัง(จีฟา)ใกล้สวรรคต ได้ฝากฝังพระโอรสพระนามว่า “ซ่ง” หรือโจวเฉิงหวัง และการปกครองแผ่นดินไว้กับโจวกง และเนื่องจากโจวเฉิงหวังในเวลานั้นมีพระชนมายุเพียง 13 พรรษาจึงยังไม่สามารถปกครองประเทศได้ อีกทั้งจะไม่เป็นที่ยำเกรงของผู้ครองแคว้นต่างๆ โจวกงจึงได้ขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการแทน แต่นั่นกลับทำให้โจวกงต้องตกอยู่ในสถานภาพที่ลำบาก เนื่องจากน้องชายของตนทั้งสองคือ ก่วนซู่ และไช่ซู่ ไม่พอใจอย่างมากและใส่ร้ายโจวกงว่าโจวกงคิดจะแย่งบัลลังค์ จนโจวกงต้องออกจากเมืองหลวงไป นอกจากนี้ทั้งก่วนซู่และไช่ซู่ยังร่วมมือกับ อู่เกิง หรือบุตรชายของโจ้วหวังและกลุ่มอิทธิพลเดิมของราชวงค์ซางก่อความไม่สงบขึ้นจนกินพื้นที่กว้างขวาง ทำให้ราชวงค์โจวตกอยู่ในสภาพที่อันตรายยิ่ง
โจวกง
เพื่อแก้ไขเภทภัยครั้งนี้โจวกงจึงได้ไปหา เจียงจื่อหยา หรือไท่กงวั่งมหาอุปราช(เจียงจื่อหยาเป็นเสนาธิการหรือนักยุทธศาสตร์ที่ติดตามทำสงครามมาตั้งแต่ครั้งโจวเหวินหวัง ปัจจุบันถือเป็นนักยุทธศาสตร์ที่เก่งที่สุดของจีน) ให้ออกหน้าช่วยชี้แจงความจริงต่อทุกคนด้วยความบริสุทธิ์ใจ ในคราแรกนั้นตัวโจวเฉิงหวางซึ่งถูกคนชั่วยุยงมานานยังไม่เชื่อถือในความสุจริตใจของโจวกง จนในภายหลังโจวกงได้แต่งกวีนิพนธ์ขึ้นมาบทหนึ่งชื่อว่า “นกเค้าแมว” เพื่ออธิบายความบริสุทธิ์ใจของตนเอง เมื่อโจวเฉิงหวังได้อ่านจึงรู้ว่าโจวกงมีปณิธานอันแน่วแน่ที่จะปราบกบฏและยังความสงบสุขกลับมาสู่ราชวงค์โจว จึงได้สิ้นซึ่งความเคลือบแคลงใจทั้งมวล จนเมื่อโจวกงกลับมายังเหมืองหลวง โจวเฉิงหวังถึงกับออกไปต้อนรับด้วยตัวเองถึงนอกเมือง
เมื่อกลับมาแล้ว โจวกงก็ได้รับบัญชาให้ปราบเหล่ากบฏ โจวกงคุมทัพด้วยตนเอง จนในที่สุดสามารถปราบกบฏลงได้จนราบคาบ และเมื่อปราบเหล่ากบฏลงได้แล้วโจวกงก็แต่งตั้งให้เหล่าเจ้านายและขุนนางเก่าของราชวงค์เดิม(ราชวงค์ซาง)ให้ได้เป็นขุนนางและผู้ครองแคว้นเพื่อเลี้ยงน้ำใจคนเหล่านั้นไม่ให้ก่อกบฏอีก จากนั้นโจวกงได้เป็นประธานในการสร้างนครลั่วหยางและย้ายเมืองหลวง เพื่อให้นครหลวงอยู่ในภาคกลางทำให้เจ้าครองนครต่างๆสามารถมาเข้าเฝ้าได้สะดวก
โจวกงได้ร่างราชโองการขึ้นเก้าฉบับเพื่อใช้เป็นหลักในการปกครองบ้านเมืองให้สงบเรียบร้อย โจวกงยังเสนอให้ใช้ระบบเจ้าผู้ครองนครและยกเลิกระบบแคว้นเมืองขึ้น ประเทศจีนจึงรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกัน นอกจากนี้โจวกงยังได้กำหนดระเบียบการปกครองแผ่นดิน ตำแหน่งขุนนาง และหน่วยราชการต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพ ทั้งยังได้วางระเบียบการใช้ดนตรีในพิธีกรรม(เรื่องนี้มีอิทธิพลต่อขงจื้ออย่างสูง) ระเบียบพิธีในชีวิตประจำวัน และได้แต่งบทสดุดีบูรพกษัตริย์ไว้อีกหลายบท ทำให้ในยุคที่โจวกงช่วยว่าราชการแผ่นดินนั้น ราชวงค์โจวมีแต่ความเจริญรุ่งเรืองไปทุกแห่ง
โจวกงถูกยกย่องในความมีคุณธรรมอย่างสูงในการช่วยค้ำชูราชวงค์โจว มีความซื่อสัตย์ไม่เคยคิดคดชิงบัลลังค์เสียเอง ซึ่งในเรื่องนี้นั้นขงจื้อเองยังได้ออกปากกล่าวชื่นชมอยู่ไม่ขาด และนำเอาจริยธรรมของโจวกงมาเป็นแบบอย่างให้ตนเองอยู่เสมอ ในท้ายแห่งชีวิตขงจื้อยังกล่าวว่า “甚矣吾衰也!久矣吾不复梦见周公! ” ซึ่งได้แสดงถึงความรักและยกย่องโจวกงอยู่ในใจเสมอมา(ประโยคนี้แปลว่า “คนชราแล้ว นานแล้วที่ไม่ได้ฝันถึงท่านโจวกง) และด้วยถ้อยคำนี้ทำให้ชาวจีนถือว่าโจวกงคือเทพแห่งความฝันผู้นำข่าวสารมาบอกทางความฝัน และทำให้ตำราทำนายฝันถูกเรียกขานว่า “ตำราทำนายฝันของโจวกง” (ผมเข้าใจว่าโจวกงไม่ได้แต่งตำราเล่มนี้นะครับ)
โจวกงมีความเกี่ยวข้องกับคัมภีร์โจวอี้อย่างมาก ถึงแม้ว่าโจวเหวินหวังจะได้รับเครดิตให้เป็นผู้รจนาคัมภีร์นี้ แต่แท้จริงแล้วโจวเหวินหวังเป็นผู้กำหนดฉักลักษณ์ทั้ง 64 พร้อมชื่อและความหมาย แต่โจวกงเป็นผู้บันทึกบทขยายความลายเส้นทั้งหมดออกมารวมแล้วถึง 386 วลี( 384 วลีของลายเส้น กับอีก 2 วลีของบทกลับ) ทำให้เรามีคัมภีร์อันยิ่งใหญ่นี้ให้ศึกษาจนถึงปัจจุบัน และนั่นทำให้ขงจื้อเองให้ความสนใจต่อคัมภีร์นี้อย่างมากจนถึงขนาดนำติดตัวศึกษาอยู่มิได้ขาด จนต่อมาขงจื้อได้เขียนบทอธิบายเพิ่มเติมขึ้นมาอีกในภายหลัง กลายเป็นคัมภีร์อี้จิงอันสมบูรณ์